ปฏิบัติตามแผนการใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด เมื่อมีแผนในใจแล้ว หากไม่ปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัดก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ว่าอย่างไรการใช้จ่ายโดยไม่รู้ขอบเขตย่อมทำให้เงินที่มีอยู่ของเราหมดไปอย่างรวดเร็วแน่นอน กลับกันหากปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด ย่อมส่งผลให้เงินที่เรามีอยู่นั้นจะถูกใช้ไปอย่างเพียงพอในช่วงว่างงานนั่นเอง 6. ปรับแต่งประวัติการทำงานใน Resume (เรซูเม่) ของเรา ก่อนสมัครงานใหม่ต้องไม่ลืมที่จะปรับแต่ง Resume ของเราให้ดี โดยอย่าลืมที่จะใส่ประสบการณ์ทำงานที่ล่าสุดของเราลงไปด้วย เพื่อที่จะได้เป็นการแนะนำความสามารถของเราผ่านทาง Resume ให้กับผู้ที่รับสมัครงานของเราได้รับทราบ 7. สมัครงานใหม่ ที่ทำมาทั้งหมดจะไม่มีประโยชน์เลย หากว่าเราไม่ทำข้อนี้ นั่นคือ การหาแหล่งรายได้ใหม่ หรือหางานใหม่ และเมื่อเตรียม Resume พร้อมแล้วก็ส่งได้เลย 8. ถือโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติม หลังจากส่งใบสมัครงานไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้ก็คือการรอการเรียกสัมภาษณ์จากทางบริษัท แต่หากว่าเรารออย่างเดียวก็คงไม่ดีแน่ๆ ขอแนะนำว่าให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ เพื่อที่จะได้เสริมจุดแข็งในการทำงานให้ตัวเรา ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ทางภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น 9.
1 สิทธิประกันตนกรณีว่างงาน การรับสิทธินี้ มีเงื่อนไขว่าเราต้องมีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน จึงจะมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือในส่วนนี้ โดยสิ่งที่จะได้รับคือ - กรณีถูกเลิกจ้างจะได้รับประโยชน์ทดแทนในอัตรา 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน – กรณีลาออกจากงาน ได้รับในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี 2. 2 หลังจากลาออกจากงาน เราก็จะยังได้รับความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่ออีก 6 เดือน โดยนับตั้งแต่วันที่เราออกจากงาน ซึ่งความคุ้มครองที่ได้รับมี 4 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ส่วนรายละเอียดต่างๆ จะเป็นไปตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณีตามที่กำหนดไว้ 3. เช็คจำนวนเงินที่เรามีอยู่ทั้งหมด เมื่อเราเดินเรื่องทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและประกันสังคมแล้ว ก็ให้เรามาดูว่าเงินต่างๆ ของเรามีอะไรบ้าง เช่น เงินเก็บ เงินสำรอง เงินเดือนสุดท้ายที่ผ่านมา เป็นต้น จากนั้นจึงนำทั้งหมดมาคำนวณรวมกันเพื่อที่เราจะได้ตัวเลขของเงินที่เรามีอยู่ทั้งหมดในช่วงที่ว่างงานนี้ 4. วางแผนการใช้จ่ายเงินที่มีอยู่ หลังจากเรารู้ยอดเงินทั้งหมดที่เรามีอยู่ ก็ให้เราจัดการวางแผนการใช้จ่าย โดยให้คำนวณเป็นรายเดือน ว่าเดือนหนึ่งนั้นเรามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หรืออาจจะคำนวณเป็นรายสัปดาห์ก็ได้แล้วแต่ความสะดวก แต่ต้องไม่ลืมที่จะคำนวณค่าใช้จ่ายประจำเดือน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อที่จะได้มองเห็นตัวเลขได้ชัดว่า เรามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่และเงินที่เรามีอยู่จะสามารถอยู่ได้กี่เดือน เพียงพอต่อการหางานใหม่หรือไม่นั่นเอง 5.
ความเห็นคนรอบข้าง "จำเป็น" หรือเปล่า หนึ่งในปัญหาของการตัดสินใจ ของการเปลี่ยนงาน คือ "ความเห็น" จากคนรอบข้างทั้งเพื่อนที่ทำงานเก่าหรือแม้แต่ คนที่ชวนเราไปสมัครงานใหม่ มักจะมาทำให้สับสนใจอยู่บ่อยๆดังนั้นเราควรถามว่า "ความเห็นเหล่านั้น" จำเป็นต่อการตัดสินใจหรือไม่ลอง สมมุติว่า… ถ้าเรากำลังจะยื่นใบลาออกเพื่อไปอยู่ที่ทำงานใหม่ แต่คนรอบข้างคุณ บอกว่า "ไม่อยากให้ไป" หรือ "ไม่ยอมให้ออก" เรายังจะลาออกอยู่หรือไม่? และถ้าไม่ลาออก อย่าลืมตอบคำถามด้วยนะครับว่า "เพราะอะไรสิ่งหนึ่งที่คุณควรคิดมากกว่า ความเห็นของคนรอบข้าง…นั่นคือ "เหตุผลที่คุณควรทำงานอยู่ที่นี่" มากกว่าครับ 5. เป้าหมายของชีวิตของเรา คืออะไร ข้อสุดท้าย อาจจะไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนงาน แต่มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรจะถามตัวเองอยู่ทุกวันนั่นคือ "ชีวิตนี้เราต้องการอะไร" เพราะคนเราทุกคนนั้นใช้เวลาทำงาน อย่างน้อย 1 ใน 3 ของวันนั่นแปลว่าถ้า 33% ของเราที่ใช้ไปนั้นไม่ทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้ มันคงจะเหนื่อยและลำบากมากๆ เลย จริงไหมครับ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าตอนนี้ เราทุกคนจะทำงานอะไรอยู่ หรือแม้แต่อยากเปลี่ยนงานกำลังจะเปลี่ยนงาน หรืออยู่ในระหว่างการเปลี่ยนงาน สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะย้ำก็คืออย่าลืมมองหาคุณค่า จากการทำงานในทุกๆวัน และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริงครับ ขอขอบคุณ a o m m o n e y
ผลตอบแทนที่ได้นั้น "คุ้มค่า" บ้ างไหม เช่นเดียวกันกับความชื่นชอบ สิ่งหนึ่งที่เราตอบตัวเองได้คือ "ผลตอบแทน" จนมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายคนบอกผมว่า "ถ้าจ้างงานหนักแค่ไหน แต่เงินถึงเราก็ไป" ไชโย… แต่อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ "ความคุ้มค่า" ด้วยนะครับว่า "ผลตอบแทนที่เราได้นั้น" คือ"มูลค่าที่กิจการยอมจ่าย" บวกด้วย "ค่าเสียโอกาส" เพราะสิ่งที่เรายอมแลกไปเพื่อให้ได้กลับมา ไม่ใช่มีแค่ต้นทุนเวลาในการทำงานเพียงอย่างเดียว อย่าลืมพิจารณาถึง โอกาสการเติบโต ความก้าวหน้าในสายอาชีพ และเรื่องอื่นๆที่สำคัญในการใช้ชีวิตด้วยนะครับ 3.
ในเมื่อชีวิตการทำงานไม่ได้ลั้ลลาเหมือนชีวิตสมัยเรียน และในเมื่อจุดสิ้นสุดของ การทำงาน ไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวเหมือนการเรียนหนังสือ ที่เรามักจะรู้ว่าเราต้องเรียนระดับประถมโดยใช้เวลา 6 ปี มัธยม 6 ปี มหาวิทยาลัย 4 ปี แล้วถือว่าเรียนจบ หากแต่ชีวิตการทำงานในองค์กรหนึ่งนั้น ๆ จะว่าอิสระกว่าตอนเรียนก็ไม่ใช่ จะว่าโดนจองจำประหนึ่งอยู่ในคุกก็ไม่เชิง คุณมีโอกาสเลือกจังหวะการ ลาออก ได้ด้วยตัวคุณเอง แล้วถ้าคุณอยากออกจากงานเดิมจนถึงขีดสุดแล้ว แต่ยังไม่มีองค์กรใดรองรับล่ะ จะทำอย่างไรดี? เรื่องนี้แก้ไขไม่ยาก เพียงทางออกของปัญหาอาจไม่เป็นที่ถูกใจนัก เพราะเรื่องที่ว่าคุณจะได้รับการตอบรับจากงานใหม่หรือไม่นั้น มันเป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุมของคุณ แต่เชื่อสิว่า ทุกปัญหามีทางออก เพียงแค่ปฏิบัติตามดังนี้ 1. ทบทวนเหตุผล ในบางครั้ง อาการอยาก ลาออก ของเราอาจโดนตัดสินโดยอารมณ์ชั่ววูบ ที่อาจไม่ได้เกิดจากการพิจารณาโดยรอบคอบ ในบางครั้งเหตุผลอาจไม่สมเหตุสมผลมากพอ ลองทบทวนดูใหม่อีกครั้ง อาจจะพบว่าจริง ๆ แล้วเราอาจจะยังไม่ได้อยากลาออกจริง ๆ ก็ได้ 2. หาโอกาสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างโปรไฟล์ กับเวปไซต์หางาน กระจายข่าวฝากเพื่อนที่รู้จักให้ได้รู้ว่า เรามีความต้องการอยาก เปลี่ยนงาน เพราะบ่อยครั้งตำแหน่งงานว่าง อาจไม่ถูกประกาศออกสู่สาธารณะ แต่คนในองค์กรนั้น ๆ จะรู้ก่อน ซึ่งแน่นอนว่า เพื่อนก็ย่อมต้องช่วยเพื่อนก่อนใคร ในปัจจุบันหลายบริษัทมีโปรแกรมแนะนำเพื่อนสมัครงานแล้วจะได้รางวัลต่าง ๆมากมาย เข้าตำรามีเพื่อนดีเป็นศรีแก่ตัวเลยนะเนี่ย ที่ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณอยากรู้ข่าวอินไซต์ต่าง ๆ นานา เพื่อนคุณนี่แหละ จะเป็นคนแนะนำได้ดีที่สุด 3.
คิดบวก มองโลกในแง่ดี จริงอยู่ที่ว่าโลกแห่งความจริงนั้นไม่ได้สวยงามดั่งทุ่งลาเวนเดอร์ ซึ่งนี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ใครหลายคนไม่กล้าที่จะออกมาจากโซนที่ตัวเองคุ้นเคย มาเผชิญกับความจริงที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเราพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามมองหาเรื่องดี ๆ ที่มักจะซ่อนอยู่ในทุกเหตุการณ์เสมอ จะช่วยให้เรามีความหวังบ้าง แต่การมองโลกในแง่ดีไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างต้องสวยงามเสมอ ทุกอย่างมี 2 ด้าน 6. อย่ามองข้ามความสัมพันธ์ คนที่อยู่แต่ใน Comfort Zone ของตัวเองนั้น มักจะไม่ค่อยกล้าเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ ๆ กับใคร เพราะคิดว่าจะเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับตัวเอง แต่หากเป็นความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างที่มีอยู่เดิม อาจจะช่วยให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น ในบางครั้ง ถ้าไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีแรงผลักดันใด ๆ เราก็ไม่สามารถมีกำลังใจจะเริ่มต้นได้เหมือนกัน ดังนั้นคนรอบข้างจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะดึงเราให้ข้ามผ่านเส้นบาง ๆ นั้นออกมาได้ 7. อย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ หลุดมือ ความลังเล ความกังวล ความกลัว ทำให้เราพลาดสิ่งดี ๆ หลายอย่างในชีวิตไป ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่โอกาสดี ๆ เข้ามา อย่ามัวลังเล แต่ให้คว้าเอาไว้ก่อน จากนั้นก็พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะตัวเราเองก็ไม่มีทางจะทำนายได้ว่า โอกาสที่เข้ามานั้นจะพาเราไปไกลจากจุดเดิมได้มากน้อยแค่ไหน อาจจะสำเร็จเกินคาด หรืออาจจะล้มเหลวก็ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็กล้าที่จะลองให้ได้รู้ 8.
มองหารายได้เสริม หากว่าเราพอมีความสามารถอื่นๆ เช่น ถ่ายรูป เล่นดนตรี อยู่ในระดับที่ดี เราก็อาจจะมองหารายได้เสริมในระหว่างที่รองานประจำอยู่ก็เป็นได้ นอกจากจะช่วยให้เรามีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเป็นรายได้หลักของเราก็เป็นได้ 10. พักผ่อนชาร์จพลังเตรียมไฟให้พร้อมลุยงานใหม่ หลังจากทำทั้งหมดมานี้ก็ยังไม่ได้งานใหม่ เราก็อาจจะใช้เวลานี้ในการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะเป็นการชาร์จแบต และเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานต่อไปของเราก็ได้ เพราะบางคนก่อนที่จะว่างงานก็อาจจะได้ทำงานมาหนักมาก จึงถือโอกาสนี่พักก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด หวังว่า 10 ข้อที่ว่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คนที่กำลังจะลาออกหรือว่างงานอยู่ ไม่ว่ายังไงก็ขอเอาใจช่วยให้ได้งานใหม่เร็วๆ ครับ
อย่าคาดหวังมากเกินไป เพราะความรู้สึกผิดหวัง เป็นความรู้สึกที่กัดกินหัวใจ และบั่นทอนความพยายาม เพราะฉะนั้น การจะทำอะไรจึงต้องคำนึงถึงพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ประเมินกำลังของตัวเอง แล้วจึงทำตามกำลังที่เรามี ให้คิดไว้เสมอว่า การก้าวข้ามออกจาก Comfort Zone จะต้องทำให้เราเป็นตัวเราเองในเวอร์ชันที่อัปเกรดแล้ว ที่สำคัญ อย่าโทษตัวเองที่ผิดพลาด ให้อภัยตัวเอง และให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้ และพัฒนา 9. หาข้อดีของตัวเองให้เจอ แล้วภูมิใจกับสิ่งที่ทำ การที่เราไม่กล้าที่จะก้าวข้ามความคุ้นชินเดิม ๆ ออกมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น กลัวไว้ก่อนว่าไม่สำเร็จแน่ ๆ เพราะการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เราไม่รู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ต้องเริ่มต้นกำจัดความคิดลบต่อตัวเองให้ได้ก่อน หาข้อดีของตัวเองให้เจอ แล้วเอาจุดแข็งของตัวเองออกมา มั่นใจให้มากขึ้น จะช่วยเพิ่มพลังใจและกำลังใจที่ดีให้กับตัวเองได้มากขึ้นทีเดียว
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมีเงินก้อนในวัยเกษียณ แต่การลาออกทำให้ต้องออกจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก่อนวัยอันควรและต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้อีกด้วย ข่าวดีปัญหานี้มีทางออกแล้วโดยในปี 2558 พ. ร. บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฉบับใหม่ ให้โอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ไปอยู่ในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF ได้ ทำให้สามารถเลือกรูปแบบการลงทุนได้หลากหลาย และสะสมเงินไว้จนถึงเกษียณ ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่นไม่ควรปล่อยให้เงินสะดุด ใครอยากลาออก แต่ยังไม่มีความมั่นคงทางการเงิน ก็อย่าเพิ่งใจร้อน แม้ว่าจะออกจากงานได้ช้าลง แต่ก็มั่นใจได้ว่าฐานะการเงินปลอดภัย สิ่งที่ผมหยิบยกมา 7 อย่างเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ควรรู้ และควรศึกษาค้นหาเพิ่มเติมกันนะครับ
"ทำไมอยากเปลี่ยนงาน? " หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่หลายบริษัทใช้ในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำถามง่าย ๆ แต่พอได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ก็กลายเป็นคำถามที่ตอบยากอยู่เหมือนกัน แม้จะมีเหตุผลของตัวเอง แต่ควรพูดอย่างไรดีล่ะ? ที่จะส่งผลดีกับการสัมภาษณ์ ได้ใจผู้สัมภาษณ์ และได้งานไปพร้อมกัน ทำไมถึงอยากเปลี่ยนงาน? " ทำไมถึงอยากเปลี่ยนงาน? "