The show must go on. (ชีวิตต้องดำเนินต่อไป) – เมื่อเป็นรูปปฏิเสธ Must not (Mustn't) จะหมายถึง ข้อห้าม, ไม่อนุญาตให้ทำ Ex. You mustn't drink that. (คุณห้ามดื่มสิ่งนั้นนะ) Ought to Ought to แปลว่า ควรจะ เป็นคำที่คนสมัยก่อนใช้กัน ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้ว จะใช้ Should มากกว่า Ex. We ought to help the poor. = We should help the poor. (เราควรจะช่วยเหลือคนจน) Creator
(รูปประโยคปกติไม่สลับคือ Ben drinks a lot, and Alan does too. ) (เบนเป็นคนดื่มหนัก อลันก็เช่นกัน) Mary is not an active staff member, and nor is Peter. (แมรี่ไม่ใช่เป็นพนักงานที่แข็งขัน ปีเตอร์ก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน) ประโยคขึ้นด้วยกริยาวิเศษณ์ที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ (negative adverbial expressions) ได้แก่ never, rarely, hardly, never, in no way, little และอื่นๆ: Never have I travelled to that site. (ฉันไม่เคยเดินทางไปยังจุดนั้นเลย) Hardly did I go to theatre. (ฉันแทบจะไม่เคยไปโรงละครเลย) In no way can I forgive this insult. (ฉันไม่มีทางที่จะยกโทษให้กับการดูหมิ่นนั้น) Little did my parents know I used to smoke in the garden shed. (พ่อแม่ของฉันรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการที่ฉันเคยสูบบุหรี่ในห้องเก็บของในสวนน้อยมาก) ประโยคขึ้นต้นด้วย only และ not only: Only after finishing your homework can you play. (เธอจะเล่นได้ก็ต่อเมื่อทำการบ้านเสร็จแล้ว) Not only did he take some, but he took the lot. (เขาไม่ได้เพียงแต่เอาไปเพียงแต่บางส่วน แต่เขาเอาไปทั้งล็อต) ขึ้นต้นด้วยบุพบทวลีบางตัว: Behind me are my pets.
(ข้างหลังฉันคือบรรดาสัตว์เลี้ยงของฉัน) Over the rainbow lies a crock of gold. (เหนือบนสายรุ้งนั่นมีไหใส่ทองคำอยู่) ประโยคขึ้นต้นด้วยกริยาวิเศษณ์ว่าด้วยสถานที่ มีแค่สองคำ คือ here และ there แต่กลุ่มนี้ต้องตามด้วยคำกริยาหลัก(main verb) ไม่ใช่กริยาช่วย(auxiliary verb): There is a company with good governance. (มีบริษัทหนึ่งที่มีธรรมาภิบาลในการบริหาร) Here comes the rain. I can see raindrops here and there. (และแล้วฝนก็ตก ฉันมองเห็นหยาดฝนไปทั่วทุกหนแห่ง) ประโยคเงื่อนไข (conditional sentence) ที่ไม่มีสันธานมาช่วย(conjunction) ซึ่งจัดเป็นรูปประโยคพลิกแพลงแสดงลีลาในภาษาเขียน และมักสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นประโยคคำถามที่ตกหล่นเครื่องหมายคำถามไปหรือเปล่า: Had you been there, you could have met him. (ถ้าเธออยู่ตรงนั้น เธอก็คงจะได้พบเขา) Were they my student, I would help them to pass that compulsory subject. (ถ้าพวกเขาเป็นนักเรียนของฉัน ฉันก็จะช่วยให้พวกเขาสอบผ่านวิชาบังคับตัวนั้นได้) อย่างไรก็ตามมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมอื่นๆ อีก เช่น กริยาช่วยที่อยู่หน้าประธานมักจะแย่งผันรูปตาม tense มาจากกริยาหลัก ทำให้กริยาหลักอยู่ในรูปที่ไม่ได้ผัน อย่าลืมลองหาแบบฝึกหัดมาทำเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมดูค่ะ
Past Simple และการเปลี่ยนคำกริยา ส่วน Past Simple tense นั้นมีรูปก็คือ Subject + v. 2 ไม่ว่าจะเป็น Singular subject หรือ Plural Subject plural ให้ใช้เป็นกริยาช่อง 2 ได้เลย เช่น The dog chas ed after the cat.
กริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z, o จะเติม es เช่น fini sh -> finish es She finish es her class at five. wat ch -> watch es He watch es TV. g o -> go es It go es fast. 2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y เรามักจะเปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น stud y -> studi.. -> studi es He studi es French. tr y -> tri.. -> tri es She tri es hard. *ข้อยกเว้นในการเติม s, es: ถ้าตัวสุดท้ายเป็นคำกริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) สามารถเติม s ได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i แล้วค่อยเติม es เช่น s a y -> say s He say s something. p a y ->pay s She pay s for my food. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์เราก็ต้องวุ่นวาย ให้กริยาพา s /es ไปอยู่เป็นเพื่อนประธานตามกฎข้างต้น แต่ถ้าประธานในประโยคเป็นพหูพจน์ (plural) ก็จะไม่เหงา กริยาของเราจึงไม่ต้องเติมอะไรเลย ทั้ง s และ es เราจะลองเปรียบเทียบให้เพื่อน ๆ ดูว่าประโยคที่ประธานเป็นเอกพจน์และพหูพจน์นั้นทำให้กริยามีหน้าตาเปลี่ยนไปยังไงบ้าง Singular Plural It goes fast. They go fast. He studies French. They study French. He says something. They say something. ส่วนหลักการเปลี่ยนกริยาให้เป็นรูปเอกพจน์สำหรับคำนามอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Pronoun ก็จะมีหลักการมองง่าย ๆ ดังนี้ 1.
ม. ถ้าอยากจะจำได้ให้ทบทวนในวันรุ่งขึ้นทันที แล้วให้ทบทวนอีกทีในสัปดาห์ต่อไป ทบทวนอย่างน้อย 5 ครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการออกเสียง เราถึงต้องบททวนธรรมเพราะไม่อย่างนั้นเราจะจำไม่ได้ ที่เราบอกว่าจำไม่ได้ คืนครูไปหมดแล้ว เพราะว่าเราไม่ได้ทบทวน ให้ทบทวนบทเรียนทั้งหมดเท่าที่ทำได้ ไวยากรณ์ให้ดูslide การออกเสียงให้ดูวีดีโอ จับกลุ่มกันทบทวน การทบทวนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่ทบทวน เรียนไปก็ไร้ประโยชน์ สรุป เราขยันมากเท่าไรเราก็จะได้เท่านั้น ในการเรียนภาษาง่ายมากเลย มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1. ฝึกบ่อย ๆ 2. ต้องถูกวิธี 3. ทำเสมอต้นเสมอปลาย นฤมล ยังแช่ม (เข้มแสงศีล) ผู้จดบันทึก Post Views: 26
ประธาน V. to be I am (ปัจจุบัน)was (อดีต) He, She, It และประธานเอกพจน์ is (ปัจจุบัน)was (อดีต) You, We, They และประธานพหูพจน์ are (ปัจจุบัน)were (อดีต). อ่าวแล้วตัวอื่นล่ะ? ไม่ต้องตกใจไปได้ใช้แน่นอนค่ะ ฮ่าๆ การใช้ V. to be สามารถจำแนกได้เป็น 2 แบบใหญ่ คือ V. to be as a "Main Verb" หรือที่ทำหน้าที่เป็นกริยาหลัก การใช้ในรูปแบบนี้ จะทำให้ V. to be นั้นมีความหมาย เหมือนที่เราเคยท่องกันว่า เป็น อยู่ คือ นั่นเองค่ะ (แต่ในบางครั้งไม่มีความหมายก็ได้นะ) การใช้ในรูปแบบนี้ V. to be สามารถตามด้วยคำเหล่านี้ได้ 1. คำนาม (Noun) เช่น We are English learners. พวกเราเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษ 2. คำสรรพนาม (Pronoun) เช่น That phone! It 's mine! โทรศัพท์เครื่องนั้น! มันเป็นของฉัน! 3. คำคุณศัพท์ (Adjective) เช่น Ren was very handsome. ในอดีตเร็นหล่อมากกกกก 4. คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น She 's there. เธออยู่นั่น 5. คำบุพบท (Preposition) เช่น The newest book is at that shelf. หนังสือใหม่อยู่ที่ชั้นนั้น.. โดยความหมายก็จะแตกต่างกันออกไปดังตัวอย่างประโยคที่ยกมาให้ อ่ะ เผื่อยังไม่เคลียร์ขออธิบายประโยคที่เราเจอตอนแรกให้อีกนะคะ Where is your hometown?
1. ใช้เป็นกริยาช่วยในประโยค Continuous tense เพื่อแสดงว่า "กำลังทำ…" เช่น Nid is eating a sandwich. (นิดกำลังกินแซนด์วิช) eating เป็นกริยาหลัก, is เป็นกริยาช่วย Jack and I are watching a movie. (ฉันกับแจ็คกำลังดูหนัง) watching เป็นกริยาหลัก, are เป็นกริยาช่วย 2. 2. ใช้ในโครงสร้างประโยค Passive Voice (ประโยคถูกกระทำ) โครงสร้าง S + Verb to be + V. 3 เช่น A house is built by father. (บ้านถูกสร้างโดยพ่อ) I was given the letter by him. (ฉันถูกให้จดหมายโดยเขา) เมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ใส่ not หลัง Verb to be ได้เลย เช่น My phone wasn't fixed yesterday. (โทรศัพท์ของฉันไม่ได้ถูกซ่อมเมื่อวานนี้) 2. 3. ใช้ Verb to be วางหน้าคำกริยา infinitive with to จะให้ความหมายว่า "จะ, จะต้อง" เช่น You're to get better marks next time. (ในครั้งหน้าคุณจะต้องได้คะแนนที่ดีกว่า) I'm to work in Tokyo next year. (ฉันจะไปทำงานที่โตเกียวปีหน้า) การทำ Verb to be เป็นรูปปฏิเสธ การทำ Verb to be เป็นรูปปฏิเสธ ทำได้โดย เติม not หลัง is, am, are, was were ดังนี้ am not / is not = isn't / are not = aren't / was not = wasn't / were not = weren't เช่น I am not a student.